เผยแพร่: 21 ก.ค. 2568 โดย: รุ่งเรือง หวนระลึก
หลังจากเทคโนโลยีดาวเทียมก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบการสื่อสาร ดาวเทียมก็ได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญในการกระจายสัญญาณโทรทัศน์ โทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม หนึ่งในสิ่งที่สำคัญไม่น้อยก็คือการเลือกใช้ย่านความถี่ที่เหมาะสม สองย่านที่ถูกนำมาใช้งานโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่างแพร่หลายคือ C-band และ Ku-band โดยแต่ละย่านก็มีคุณสมบัติและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมย่านความถี่ C-band
C-band ถือเป็นย่านความถี่ที่เก่าแก่และมีการใช้งานมาอย่างยาวนานในการสื่อสารดาวเทียม โดยทั่วไปจะใช้ในย่านความถี่ uplink ประมาณ 5.9–6.4 GHz และ downlink ประมาณ 3.7–4.2 GHz ข้อดีที่โดดเด่นของดาวเทียม C-band คือความสามารถในการทนต่อสภาพอากาศ เช่น ฝนหรือความชื้นในบรรยากาศได้ดีมาก จึงทำให้การรับส่งสัญญาณมีความเสถียรสูง เหมาะสำหรับพื้นที่ในเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นที่มีฝนตกชุก และ ย่านความถี่ C-band มักมี Footprint ที่กว้างครอบคลุมได้ทั้งทวีปหรือหลายประเทศ เพราะคลื่น C-band แพร่กระจายได้กว้างกว่า
อย่างไรก็ตาม การใช้ C-band มักต้องการขนาดจานรับสัญญาณที่มีขนาดใหญ่ (ตั้งแต่ 1.8 เมตรขึ้นไป) เพื่อให้สามารถรับสัญญาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งอาจไม่สะดวกสำหรับการติดตั้งตามบ้านเรือนหรือพื้นที่จำกัด
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมย่านความถี่ Ku-band
ในขณะที่ C-band เหมาะสำหรับสถานีโทรทัศน์หรือสถานีถ่ายทอดใหญ่ ๆ ดาวเทียม Ku-band ก็ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่คล่องตัวกว่า โดยใช้ย่านความถี่ uplink ประมาณ 14.0–14.5 GHz และ downlink ประมาณ 10.7–12.75 GHz จุดเด่นของ Ku-band คือสามารถใช้ จานรับขนาดเล็ก (60–90 เซนติเมตร) ทำให้ติดตั้งได้ง่าย ทั้งบนหลังคาบ้าน อาคาร หรือแม้แต่รถยนต์ เหมาะสำหรับระบบ Direct-to-Home (DTH) ที่เน้นให้ผู้ชมสามารถรับชมโทรทัศน์ดาวเทียมได้สะดวก และ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมย่านความถี่ Ku-band มักมี Footprint แคบกว่า เหมาะสำหรับการให้บริการเฉพาะภูมิภาคหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง และสามารถออกแบบลำแสง (Beam) เพื่อเน้นส่งสัญญาณเฉพาะจุดได้
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของ Ku-band คือสัญญาณมีโอกาสถูกรบกวนจากฝนได้ง่าย (Rain Fade) โดยเฉพาะในช่วงฝนตกหนักหรือพายุ ทำให้บางครั้งคุณภาพสัญญาณอาจลดลง
การเปรียบเทียบ C-band vs. Ku-band
แหล่งอ้างอิงข้อมูลและรูปภาพ